วันจันทร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2557






ประวัติศาสตร์อำเภอขลุง เริ่มจากการค้นพบศิลา จารึกขลุง ซึ่งเป็นหินทรายสีแดงใช้อักษร ปัลลวะ พุทธศตวรรษ 12 (อยู่ระหว่างปี พ.ศ. 1101 ถึง พ.ศ. 1200 การกำหนดอายุ ศ. ยอร์ช เซเดส์ ได้สรุปรูปแบบอักษรไว้พอสังเขปว่า    เป็นอักษรที่ใช้กันโดยทั่วไปใน คริสต์ศตวรรษที่ 7 หรือ ราวพุทธศตวรรษที่ 12 - 13 ซึ่งก็ร่วมสมัยกันกับจารึกวัดสระบาปและจารึกวัดทองทั่ว ซึ่งทางหอสมุดแห่งชาติได้กำหนดอายุตามตัวอักษรเป็นอักษรปัลลวะ อายุราวพุทธศตวรรษที่ 12 ดังนั้น ในเบื้องต้นนี้ จึงขอกำหนดอายุไว้ที่พุทธศตวรรษที่ 12)
เป็นภาษาสันสกฤต จำนวนด้าน 1 ด้าน มี 4 บรรทัด ลักษณะวัตถุเป็นชิ้นส่วนจารึกแตกหักมาจากแท่งหินทรงสามเหลี่ยมด้านเท่า ขนาดกว้างด้านละ 18 ซม. รายละเอียดบัญชี/ทะเบียนวัตถุ พบใน 1) วารสาร Bulletin de l’École Française d’Éxtrême - Orient ฉบับที่ 24 กำหนดเป็น “Nouvelles Inscriptions de Chantaboun : Inscription de Khălŭng” 2) ในหนังสือ Inscriptions du Cambodge เล่ม 8 กำหนดเป็น “K. 5103” ค้นพบเมื่อ พุทธศักราช 2461 ใกล้ที่ว่าการอำเภอขลุง อำเภอขลุง จังหวัดจันทบุรี ปัจจุบันไม่ปรากฏหลักฐานว่าเก็บรักษาอยู่ที่ใด แต่มีการพิมพ์เผยแพร่ใน 1) Bulletin de l’École Française d’Éxtrême - Orient XXIV (Paris : École Française d’Extrême – Orient, 124) : 352 - 353. 2) Inscriptions du Cambodge vol. VIII (Hanoi : Imprimerie d'Extrême - Orient, 1966), 158 – 159.
      จารึกหลักนี้ ถูกกล่าวถึงเป็นครั้งแรกในวารสารสำนักฝรั่งเศสปลายบูรพาทิศ (Bulletin de l’École Française d’Éxtrême - Orient) ฉบับที่ 24 ปี พ.ศ. 2467 โดย ศ. ยอร์ช เซเดส์ ได้รายงานเกี่ยวกับจารึกพบใหม่ที่มณฑลจันทบูร (ปัจจุบันคือ จังหวัดจันทบุรี) จำนวน 3 ชิ้น ในบทความชื่อ กัมพูชาศึกษา (Etudes Cambodgiennes) หัวข้อที่ 18 เรื่องการขยายตัวของอาณาจักรกัมพูชา ไปทางตะวันตกเฉียงใต้ ในคริสต์ศตวรรษที่ 7 (ราวพุทธศตวรรษที่ 13) (จารึกหลักใหม่พบที่จันทบูร)”   จารึกดังกล่าวพบที่อำเภอขลุง จังหวัดจันทบูร
มีประวัติว่ามีผู้ใหญ่บ้านผู้หนึ่งขุดพบโดยบังเอิญในขณะที่กำลังทำสวนพริกไทย ซึ่งตั้งอยู่ข้างๆ ศาลเจ้า (โรงเจ) ใกล้กันกับที่ว่าการอำเภอขลุงที่อยู่สุดปลายคลอง ต่อมา หลวงธรรมาภิมณฑ์ (ถึก จิตรกถึก) ซึ่งมีถิ่นกำเนิด ณ ตำบลตะปอนน้อย เจ้าหน้าที่หอพระสมุดวชิรญาณทราบเรื่องจึงได้แจ้งให้ ศ. ยอร์ช เซเดส์ ทราบเมื่อปี พ.ศ. 2461 เรื่องราวเกี่ยวกับจารึกขลุงนี้ ดูเหมือนว่าจะมีกล่าวถึงอยู่แต่ในวารสารฝรั่งเศสปลายบูรพาทิศ เท่านั้น เนื่องจากตรวจสอบแล้วไม่ปรากฏว่าทางหอสมุดแห่งชาติได้มีการอ่านและแปลจารึกหลักดังกล่าวแต่อย่างใด เนื่องจากศิลานี้จารึกชำรุดมาก จึงทราบแต่เพียงว่าเป็นจารึกที่กล่าวถึงการทำบุญ โดยพระราชาพระองค์หนึ่งไม่ทราบพระนาม เนื่องจากตรงที่เป็นพระนามชำรุดหายไป ซึ่งอาจมีนามว่า ศรีจานทรายณนาถะ อันเป็นนามที่ปรากฏในอีกบรรทัดต่อมา ไม่ปรากฏหลักฐานผู้สร้าง


                    คำแปลเป็นภาษาไทย: ตรงใจ หุตางกูร (พ.ศ. 2467)
                    1. อาษาธะ . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
                    2. การบริจาคของพระราชาศรี . . . . . . . . . . . . .
                    3. ทั้งปวงนี ้โดยศรีจานทรายณนาถะ . . . . . . . .
                    4. ผู้ใดก็ตาม แสดงกิริยาแปลก โดยความคลุ้มคลั่ง

ในส่วนของชื่อนั้น มีผู้กล่าวว่า ขลุง เป็นภาษาชอง ซึ่งเป็นชนเผ่าโบราณเผ่าหนึ่ง มีภูมิลำเนาอยู่ในท้องที่อำเภอต่างๆ ของจังหวัดจันทบุรี (ปัจจุบันส่วนใหญ่อยู่ที่อำเภอมะขาม) ซึ่งมีความหมายว่า ที่ลุ่ม ๆ ดอน ๆ น้ำท่วมถึง เนื่องจากภูมิประเทศของขลุงเป็นที่ ที่มีภูเขา แม่น้ำ และทะเลติดต่อกัน จึงสอดคล้องกับความหมายที่ได้เรียกขานกันมา

คุณวิกิจ สุขสำราญ (ไต้ฝุ่นเว้) ลูกวัดขลุง โดยกำเนิด ให้แนวคิดความหมายของอำเภอขลุงว่า มาจากคำว่า โขลงหรือโขลงช้างเนื่องจากในสมัยก่อนนั้นพื้นที่อำเภอขลุง น่าจะมีช้างอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก และเมืองขลุงนี้น่าจะเป็นเมืองขึ้นของของอาณาจักรขอม (เขมร) ซึ่งจะต้อนช้างไปที่เมืองเพนียด จันทบูร แล้วคัดช้างส่งไปใช้แรงงาน ในอาณาจักร มูลเหตุสำคัญอันที่จะทำให้เชื่อได้ว่า เมืองขลุง มาจากคำว่า โขลง (โขลงช้าง) ก็คือ ตำบล-หมู่บ้าน ต่างๆ พื้นที่ของอำเภอขลุงหลายแห่งมีชื่อที่สอดคล้องกับกับถิ่นที่อยู่ของช้าง ซึ่งกินไผ่เป็นอาหาร เช่น บ้านเวฬุวัน (เวฬุ แปลว่า ป่าไผ่), บ้านช้างข้าม, บ่อเวฬุ เป็นต้น และในปัจจุบันก็ยังคงมีช้างอยู่ในบริเวณตำบลบ่อเวฬุ (จากข่าวเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม ค.ศ.2007 (พ.ศ.2550)
เดิมที่เดียวอำเภอขลุงเป็น เมืองมีเจ้าเมืองปกครองเรียกกันว่าเมืองขลุง” (หรือเมืองขลุงบุรีย์ ตามหลักฐานเมื่อปี จ.ศ.1233/ค.ศ.1871/พ.ศ.2414) โดยมีบันทึกในพงศาวดารเขมร เขียนถึงเมืองขลุงไว้ว่า ในสมัย จ.ศ.1143 (ค.ศ.1781/พ.ศ.2324) เมื่อเดือนอ้าย พระเจ้าตากทรงทราบข่าวว่า บรรดาขุนนางเขมรคืนเข้ามากับญวน ตรัสใช้พระราชบุตรชื่อ พระเจ้าน้อย กับเจ้าพระยาจักรี เจ้าพระยาสุรสิงห์ นำไพร่พลสองหมื่นแยกไปสามทาง ฯลฯ
  

กองทัพพระเจ้าน้อย มาทางเมืองปัตบอง เมืองตะคร้อ เมืองขลุง เมืองตรอง เมืองบริบูรณ์ มาถึงบ้านตรึงบรรไลย บรรดาราษฎรตกใจพากันลงเรือมาถึงพนมเพ็ญไปจอดอยู่ฟาก เกาะลว้าเอม พระบาทบรมบพิตรไปอยู่ ณ เกาะเกิด    พระยากลาโหมชู  ตั้งตัวขึ้นเป็นสมเด็จเจ้าพระยา    ตั้งค่ายรายทัพอยู่จะโรยจังวา ฯลฯ

พระยาวังว่าราชการกรมวัง พระยาศรีทิพเนตร เป็นปลัดขวา พระยาเนตรอุไทยเป็นปลัดซ้าย พระเทพเสนาเสมียนตรา มีเมืองขึ้นคือ พระยาสวรรคโลกเจ้าเมืองโปริสาท พระยาแสนสงครามเจ้าเมืองศรีสุนทร พระยาแสนเสนาเจ้าเมืองลแวก พระยายศไชยเจ้าเมืองขลุงฯลฯ

และมีบันทึกที่เกี่ยวกับการกล่าวถึงเมืองขลุงในเอกสารประชุมพงศาวดารภาคที่ 67 และ 68 (ประมาณปี พ.ศ.2376, 2383)   จดหมายเหตุเกี่ยวกับเขมรและญวนในรัชกาลที่ 3 ฉบับที่ 12 ใบบอกเจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี)


ปัจจุบันยังพบซากบ้านเมืองเก่าบริเวณโรงเจขลุง ซึ่งพบก้อนอิฐโบราณมากมาย จากคำบอกเล่าของผู้ดูแลว่าภายใต้พื้นดินซึ่งทางโรงเจ ก่อผนังปูนล้อมไว้นั้น เป็นสิ่งก่อสร้างจากอิฐ และมีของเก่าโบราณมากมาย แต่ยังไม่อนุญาตให้ใครขุดขึ้นมา ด้วยเหตุผลหลายประการ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น